คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6635/2554

ผู้ตายฝ่ายหนึ่งและจำเลยทั้งสามกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ดังนั้น แม้ฝ่ายจำเลยจะมีหลายคน แต่เมื่อสามารถรับรู้และแบ่งฝ่ายแบ่งพวกกันได้ การที่ผู้ตายถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายจึงมิใช่เป็นการตายอันเนื่องมาจากการเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ แต่พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามถือได้ว่า ต่างมีเจตนาร่วมวิวาททำร้ายผู้ตายมาแต่แรก ดังนั้น แม้ผู้ตายจะถึงแก่ความตายเพราะถูกฝ่ายจำเลยแย่งมีดไปฟันในเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่รู้ว่าจำเลยคนใดเป็นผู้ฟันผู้ตายแต่จำเลยทั้งสามก็ยังต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งศาล มีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานนี้ได้ เพราะความผิดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษมาด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจึงไม่ถูกต้อง แต่เมื่อโจทก์ไม่ฎีกาในข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาจึงไม่อาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องอันเป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสามได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6635/2554

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288, 294 ริบมีดของกลาง

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294 วรรคแรก ให้ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ริบมีดของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสามในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294 วรรคแรก ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีนายสมโภชน์ เป็นพยานเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานนั่งดื่มสุราอยู่บนกระบะรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้านห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 10 ถึง 15 เมตร เห็นจำเลยทั้งสามซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับพยานกับพวกรวม 3 ถึง 4 คน ชุลมุนชกต่อยอยู่ที่ร้านอาหาร นิดหน่อยที่เกิดเหตุ และเห็นจำเลยทั้งสามลากชายคนเดียวเข้าไปในพงหญ้าแต่ไม่เห็นอาวุธ หัวหน้างานซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ด้วยได้ห้ามพยานกับพวกเข้าไปดูและสั่งให้เข้าบ้าน กับมีดาบตำรวจอุดร ผู้จับกุมเบิกความว่า ขณะออกตรวจได้รับแจ้งเหตุ จึงใช้รถยนต์ขับติดตามคนร้ายที่หลบหนีไปในทันทีพบคนร้าย 3 คน คือ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทวี ไปที่โรงพยาบาลหนองแค เนื่องจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารับการรักษา พยานสอบถามนายทวีได้ความว่า กลุ่มของนายทวีมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นที่ร้านอาหาร แล้วกลุ่มวัยรุ่นนำมีดมาฟันกลุ่มนายทวี กลุ่มนายทวีแย่งมีดได้จึงใช้มีดดังกล่าวฟันกลุ่มวัยรุ่นไปเช่นกัน และเมื่อพยานกลับไปที่ร้านเกิดเหตุเห็นผู้ตายนอนตายอยู่ที่ป่าหญ้า ได้สอบถามนางสถิต เจ้าของร้านอาหารแล้วทราบว่า กลุ่มของจำเลยพูดแทะโลมภริยาผู้ตาย ผู้ตายจึงนำมีดมาทำร้ายกลุ่มของจำเลย และกลุ่มของจำเลยแย่งมีดจากผู้ตายได้จึงฟันผู้ตายถึงแก่ความตาย นอกจากนี้ได้ความจากคำให้การของนางสถิต ที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การพยานว่า เวลา 21 นาฬิกาเศษ ผู้ตายกับพวกรวม 6 คน เข้าไปในร้านนั่งที่โต๊ะ 1 ต่อมาเวลาประมาณ 23 นาฬิกา มีลูกค้า 4 คน เข้าไปในร้านแล้วนั่งที่โต๊ะ 2 สักพักมีพวกตามมาอีก 4 ถึง 5 คน ต่อมาลูกค้าโต๊ะ 1 เรียกเก็บเงินจากนั้นมีรถยนต์มาจอดที่หน้าร้าน แล้วผู้ตายเดินไปที่รถถือสิ่งของเดินกลับมาตีศีรษะชายที่โต๊ะ 2 แล้วเกิดการชุลมุนกันขึ้น นางสถิตจึงหลบไปหลังร้านไม่เห็นเหตุการณ์อีก นางอีรียา ภริยาผู้ตายก็ให้การตามบันทึกคำให้การพยานว่า ผู้ตายกับนางอีรียาขับรถมาหาเพื่อน 3 ถึง 4 คนที่ร้านเกิดเหตุ และขณะนางอีรียาเล่นเกมอยู่ในรถยนต์ มีชาย 1 คนมาที่ร้าน ชายคนหนึ่งถามนางอีรียาว่าเป็นเด็กใหม่หรือผู้ตายไม่พอใจ และมีชายอีกคนหนึ่งถามผู้ตายว่ามีปัญหาอะไร ผู้ตายจึงถอยรถยนต์ไปจอดห่างจากร้าน และหยิบมีดอีโต้ในรถยนต์เหน็บเอวเดินกลับไปฟันชาย 3 คนนั้น เห็นว่าแม้โจทก์ไม่ได้ตัวนางสถิตและนางอีรียามาเบิกความเป็นพยาน แต่คำให้การของคนทั้งสองในชั้นสอบสวนเมื่อฟังประกอบคำเบิกความของนายสมโภชน์และดาบตำรวจอุดรแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ชัดเจนว่า เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ตายฝ่ายหนึ่งและจำเลยทั้งสามกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ดังนั้น แม้ฝ่ายจำเลยจะมีหลายคน แต่เมื่อสามารถรับรู้และแบ่งฝ่ายแบ่งพวกกันได้ การที่ผู้ตายถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายจึงมิใช่เป็นการตายอันเนื่องมาจากการเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยชอบแล้ว แต่พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามถือได้ว่า ต่างมีเจตนาร่วมวิวาท ทำร้ายผู้ตายมาแต่แรก ดังนั้น แม้ผู้ตายจะถึงแก่ความตายเพราะถูกฝ่ายจำเลยแย่งมีดไปฟันในเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่รู้ว่าจำเลยคนใดเป็นผู้ฟันผู้ตาย แต่จำเลยทั้งสามก็ยังต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานนี้ได้ เพราะความผิดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษมาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจึงไม่ถูกต้อง แต่เมื่อโจทก์ไม่ฎีกาในข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาจึงไม่อาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องอันเป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสามได้

พิพากษายืน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

บทความที่น่าสนใจ

-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่

-ด่ากันทางโทรศัพท์

-ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก

-การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม

-การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

-เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น

-ซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร แล้วไปซื้อที่ดินข้างนอกที่ติดกับหมู่บ้าน
เพื่อเชื่อมที่ดินดังกล่าวเข้ากับที่ดินในหมู่บ้าน

-ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร

-ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม

-ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้

-การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน

-เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร

-การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ

-คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้

-ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้

-ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร

-ด่าว่า จัญไร ถอนการให้ได้

-ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ

-หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่

-การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด

-ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่

-ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร

-คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว

-การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่